Home » 10 ทรีทเม้นท์หมักผม ยี่ห้อไหนดี 2025 กู้ผมเสียให้กลับมาสวยสุขภาพดี
Posted in

10 ทรีทเม้นท์หมักผม ยี่ห้อไหนดี 2025 กู้ผมเสียให้กลับมาสวยสุขภาพดี

เคยไหมคะที่ส่องกระจกแล้วต้องถอนหายใจให้กับสภาพเส้นผมที่เคยสวยงาม? ไม่ว่าจะผมแห้งเสียจากการทำสี, แตกปลายเพราะความร้อนจากการจัดแต่งทรงผม, หรือชี้ฟูไร้น้ำหนักจากมลภาวะในชีวิตประจำวัน ปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณเตือนว่าเส้นผมของคุณกำลังต้องการการดูแลอย่างเร่งด่วนและล้ำลึกเป็นพิเศษ และหนึ่งในฮีโร่ที่จะเข้ามาช่วยกอบกู้สถานการณ์ก็คือ “ทรีทเม้นท์หมักผม” นั่นเองค่ะ

แต่ในตลาดที่มีทรีทเม้นท์หมักผมมากมายนับร้อยยี่ห้อ การจะเลือกซื้อสักกระปุกที่ตอบโจทย์และแก้ปัญหาได้ตรงจุดก็อาจทำให้หลายคนปวดหัวได้เหมือนกัน วันนี้ soodd.com ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเส้นผม จึงได้รวบรวมและคัดสรร 10 ทรีทเม้นท์หมักผม ยี่ห้อไหนดี 2025 ที่เด็ดจริง ดีจริง มาให้ทุกคนได้อัปเดตกัน บทความนี้จะไม่ได้เป็นเพียงแค่การรีวิวสินค้า แต่เราจะเจาะลึกไปถึงสาเหตุของผมเสีย วิธีเลือกทรีทเม้นท์ให้เหมาะกับตัวเอง พร้อมเคล็ดลับการใช้งานให้ได้ผลลัพธ์เทียบเท่าการทำสปาผมที่ซาลอน เตรียมบอกลาผมเสียแล้วต้อนรับผมสวยสุขภาพดีกลับมาอีกครั้งได้เลยค่ะ

เข้าใจปัญหาผมเสีย: ทำไมผมของเราถึงต้องการทรีทเม้นท์หมักผม?

ก่อนที่เราจะไปดูลิสต์ผลิตภัณฑ์ตัวท็อป เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าทำไมเส้นผมของเราถึงแห้งเสีย และทรีทเม้นท์หมักผมเข้ามามีบทบาทสำคัญได้อย่างไร โดยปกติแล้ว เส้นผมที่มีสุขภาพดีจะมีเกล็ดผม (Cuticle) เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ ทำหน้าที่เหมือนเกราะป้องกันแกนผม (Cortex) ที่อยู่ด้านใน และช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ แต่เมื่อผมของเราถูกทำร้ายจากปัจจัยต่างๆ เกล็ดผมเหล่านี้จะเปิดออกหรือถูกทำลายไป ทำให้ความชุ่มชื้นและโปรตีนในเส้นผมระเหยออกไปได้ง่าย ผมจึงเริ่มแห้งกร้าน ขาดความเงางาม และเปราะบางในที่สุด

ปัจจัยหลักที่ทำร้ายเส้นผม:

  • สารเคมี: การทำสีผม การยืด การดัด ล้วนใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์รุนแรงในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเส้นผม ทำให้ผมอ่อนแอและสูญเสียโปรตีนที่จำเป็น
  • ความร้อน: การใช้ไดร์เป่าผม เครื่องหนีบผม หรือเครื่องม้วนผมที่อุณหภูมิสูงเป็นประจำ จะทำลายเกล็ดผมและดูดความชุ่มชื้นออกจากเส้นผมโดยตรง
  • มลภาวะและแสงแดด: รังสียูวีในแสงแดดและฝุ่นควันต่างๆ สามารถทำลายโปรตีนเคราตินในเส้นผม ทำให้ผมซีดจางและแห้งกรอบได้
  • การดูแลผิดวิธี: การสระผมด้วยน้ำอุ่นจัดๆ การเช็ดผมแรงๆ หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผม ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเสียสะสมได้เช่นกัน

ทรีทเม้นท์หมักผมจึงถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ ด้วยส่วนผสมที่เข้มข้นกว่าครีมนวดผมทั่วไป ทำให้สามารถซึมซาบเข้าไปบำรุงและซ่อมแซมโครงสร้างเส้นผมได้ลึกถึงแกนผม ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้น โปรตีน และสารอาหารที่จำเป็น เพื่อฟื้นฟูให้เกล็ดผมกลับมาเรียงตัวสวยงามอีกครั้ง ผลลัพธ์ที่ได้คือเส้นผมที่กลับมานุ่มสลวย มีน้ำหนัก แข็งแรง และเงางามอย่างเห็นได้ชัด

วิธีเลือกทรีทเม้นท์หมักผมให้เหมาะกับสภาพเส้นผมของคุณ

การเลือกทรีทเม้นท์ที่ “ดีที่สุด” ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นของที่แพงที่สุดเสมอไป แต่คือการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ “เหมาะสมที่สุด” กับปัญหาและสภาพเส้นผมของเรา การเข้าใจความต้องการของเส้นผมตัวเองคือกุญแจสำคัญ เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่าผมแต่ละประเภทควรเลือกทรีทเม้นท์แบบไหน

สำหรับผมแห้งเสีย ขาดน้ำหนัก และชี้ฟู

ปัญหาหลักของผมประเภทนี้คือการขาดความชุ่มชื้น ควรมองหาทรีทเม้นท์ที่เน้นการเติมน้ำให้เส้นผมเป็นพิเศษ โดยสังเกตส่วนผสมจำพวก Hyaluronic Acid, Glycerin, Shea Butter, Argan Oil, Coconut Oil หรือ Aloe Vera ส่วนผสมเหล่านี้จะช่วยอุ้มน้ำและเคลือบเส้นผมไว้ ทำให้ผมนุ่มขึ้น มีน้ำหนัก ทิ้งตัวสวย และลดการชี้ฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับผมทำสี หรือผ่านการใช้สารเคมี

เส้นผมที่ผ่านการทำสีจะเปราะบางเป็นพิเศษและสีผมอาจซีดจางได้ง่าย ควรเลือกทรีทเม้นท์ที่ออกแบบมาสำหรับผมทำสีโดยเฉพาะ ซึ่งมักจะมีสารป้องกันรังสียูวี (UV Filters) ช่วยปกป้องสีผมจากแสงแดด และควรเป็นสูตรที่ไม่มีซัลเฟต (Sulfate-Free) เพื่อลดการชะล้างเม็ดสีออกจากเส้นผม นอกจากนี้ ส่วนผสมที่ช่วยฟื้นฟูแกนผมอย่างโปรตีนสกัดหรือเคราตินก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง

สำหรับผมอ่อนแอ เปราะขาดง่าย หรือผมเส้นเล็ก

หากผมของคุณขาดร่วงง่ายเมื่อหวีหรือสาง แสดงว่าโครงสร้างเส้นผมไม่แข็งแรง ต้องการการบำรุงที่เน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งเป็นหลัก ให้มองหาส่วนผสมสำคัญอย่าง Keratin, Biotin, Amino Acids, และโปรตีนสกัดจากพืช (เช่น ข้าวสาลี, ถั่วเหลือง) ซึ่งจะเข้าไปช่วยซ่อมแซมพันธะในเส้นผมที่ถูกทำลาย ทำให้ผมยืดหยุ่นและแข็งแรงขึ้น ลดการเปราะขาดได้ดี

เปิดโผ! 10 ทรีทเม้นท์หมักผม ยี่ห้อไหนดี 2025 ที่ต้องมีติดบ้าน

ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย! เราได้ทำการคัดเลือกทรีทเม้นท์หมักผมตัวเด็ด 10 ยี่ห้อที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง ทั้งในด้านประสิทธิภาพ รีวิวจากผู้ใช้จริง และส่วนผสมที่โดดเด่น มาดูกันเลยว่ามีตัวไหนน่าสนใจบ้าง

1. Olaplex No.3 Hair Perfector

หากพูดถึงการกู้ชีพผมเสียขั้นสุด ชื่อของ Olaplex ต้องขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆ อย่างแน่นอน แม้จะไม่ใช่ทรีทเม้นท์หมักผมในรูปแบบดั้งเดิม แต่ No.3 Hair Perfector คือทรีทเม้นท์สูตรเข้มข้นที่ทำงานในระดับโมเลกุลเพื่อซ่อมแซม “พันธะไดซัลไฟด์” (Disulfide Bonds) ในเส้นผมที่ถูกทำลายจากเคมีและความร้อนโดยตรง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ผมพังจากการฟอกสี ดัด หรือยืดผมเป็นประจำ เนื้อผลิตภัณฑ์เป็นครีมบางเบา ใช้ง่ายเพียงชโลมบนผมหมาดก่อนสระ ทิ้งไว้ 10-20 นาที แล้วสระ-นวดตามปกติ ผลลัพธ์ที่ได้คือเส้นผมที่แข็งแรงขึ้นอย่างรู้สึกได้ ลดการเปราะขาด และดูสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก ถือเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพผมในระยะยาวที่คุ้มค่ามาก

คุณสมบัติเด่น

  • เทคโนโลยี Bond-Building เอกสิทธิ์เฉพาะของ Olaplex ที่ซ่อมแซมโครงสร้างเส้นผมจากแกนกลาง
  • ช่วยลดการแตกปลายและป้องกันความเสียหายในอนาคต
  • เหมาะสำหรับทุกสภาพเส้นผม โดยเฉพาะผมที่ผ่านการทำเคมีอย่างหนัก
  • ปราศจากสาร DEA, Aldehydes, Formaldehyde, ซัลเฟต, และพาราเบน
  • ช่วยให้เส้นผมนุ่มลื่นและจัดทรงง่ายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

2. L’Oréal Professionnel Absolut Repair Golden Masque

นี่คือมาสก์ผมตัวท็อปจากแบรนด์ซาลอนระดับโลกอย่าง L’Oréal Professionnel ที่ช่างทำผมหลายคนแนะนำ สูตร Absolut Repair Golden Masque ถูกพัฒนามาเพื่อฟื้นบำรุงผมแห้งเสียมากโดยเฉพาะ จุดเด่นคือเนื้อมาสก์สีทองสุดหรูหราแต่บางเบา ไม่ทำให้ผมลีบแบน ผสานพลังของ Gold Quinoa และ Protein ที่ช่วยเคลือบปิดเกล็ดผมที่เสียหายทันที พร้อมซึมลึกเข้าไปเติมโปรตีนให้แกนผม ทำให้ผมที่เคยแห้งกร้านกลับมานุ่มสลวย เงางาม มีน้ำหนักขึ้น 7 เท่า และลดความเสียหายของผิวผมได้ถึง 77% หลังใช้เพียงไม่กี่ครั้ง กลิ่นหอมแบบมืออาชีพให้ความรู้สึกเหมือนเพิ่งออกจากซาลอน เป็นอีกหนึ่งไอเทมที่ควรมีติดห้องน้ำไว้สำหรับวันบำรุงพิเศษ

คุณสมบัติเด่น

  • มีส่วนผสมของ Gold Quinoa และ Protein ช่วยฟื้นบำรุงผมเสียอย่างล้ำลึก
  • เนื้อมาสก์แบบเจลครีมสีทอง บางเบา ไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะหนะ
  • ช่วยให้ผมนุ่มลื่น เงางาม และมีน้ำหนักขึ้นทันทีหลังใช้
  • เหมาะสำหรับผมแห้งเสียถึงแห้งเสียมาก และผมที่ขาดการบำรุง
  • ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว สามารถใช้เป็นทรีทเม้นท์บำรุงเร่งด่วนได้

3. Shiseido Fino Premium Touch Hair Mask

ทรีทเม้นท์กระปุกแดงในตำนานจากญี่ปุ่นที่ไม่มีใครไม่รู้จัก! Shiseido Fino คือคำตอบของคนที่ต้องการผมสวยนุ่มลื่นเหมือนไปอบไอน้ำที่ร้าน ในราคาที่จับต้องได้ ด้วยส่วนผสมของ “Royal Jelly EX”, “Trehalose” และ “Squalane” ที่ทำงานร่วมกันเพื่อบำรุงเส้นผมแบบครบวงจร ตั้งแต่การเติมความชุ่มชื้น, ควบคุมสมดุลน้ำในเส้นผม ไปจนถึงการเคลือบผิวผมให้เงางาม เนื้อครีมเข้มข้นแต่ล้างออกง่าย ไม่ทิ้งความมันไว้บนหนังศีรษะ หลังใช้จะสัมผัสได้ทันทีว่าผมนุ่มมาก หวีง่าย ไม่พันกัน และมีกลิ่นหอมดอกไม้อ่อนๆ ติดทนนาน เหมาะสำหรับทุกสภาพผม โดยเฉพาะคนที่ผมแห้งเสียจากการจัดแต่งทรงผมบ่อยๆ เป็นไอเทมที่ซื้อซ้ำได้ไม่เบื่อเลยทีเดียว

คุณสมบัติเด่น

  • มีส่วนผสมบำรุงล้ำลึกถึง 7 ชนิด รวมถึง Royal Jelly EX และ Squalane
  • ช่วยให้ผมนุ่มสลวย เงางาม และมีน้ำหนัก จัดทรงง่าย
  • ให้ผลลัพธ์เทียบเท่าการทำทรีทเม้นท์ที่ซาลอน
  • กลิ่นหอมหรูหรา ติดทนนาน
  • ราคาคุ้มค่า หาซื้อง่าย เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย

4. Kérastase Chronologiste Masque

ยกระดับการบำรุงผมไปอีกขั้นกับมาสก์สุดหรูจาก Kérastase ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่พรีเมียมที่สุดอย่าง Chronologiste ที่ถูกขนานนามว่าเป็น “สกินแคร์สำหรับเส้นผม” มาสก์ตัวนี้โดดเด่นด้วยส่วนผสมอันทรงคุณค่าอย่าง Abyssine, Hyaluronic Acid และ Vitamin E ที่ทำงานร่วมกันเพื่อฟื้นฟูและต่อต้านสัญญาณแห่งวัยของเส้นผมและหนังศีรษะ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาผมแห้ง, เปราะบาง, หรือหนังศีรษะขาดความชุ่มชื้น เนื้อมาสก์สีดำเข้มข้นหรูหรา มอบการบำรุงที่ล้ำลึกที่สุด ช่วยเติมความชุ่มชื้นยาวนาน ทำให้เส้นผมกลับมาแข็งแรง นุ่มสลวย มีวอลลุ่ม และเงางามเปล่งประกายถึงขีดสุด พร้อมกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ที่รังสรรค์โดยนักปรุงน้ำหอมชื่อดัง

คุณสมบัติเด่น

  • ส่วนผสมพรีเมียมอย่าง Abyssine และ Hyaluronic Acid ช่วยฟื้นบำรุงและให้ความชุ่มชื้นอย่างล้ำลึก
  • ดูแลครอบคลุมทั้งเส้นผมและหนังศีรษะ (Scalp Care)
  • ช่วยให้ผมแข็งแรงขึ้น 6 เท่า และเพิ่มความเงางาม
  • ควบคุมปัญหาผมชี้ฟูได้ยาวนานถึง 48 ชั่วโมง
  • เป็นทรีทเม้นท์ที่ให้ประสบการณ์การบำรุงผมที่หรูหราและผ่อนคลาย

5. Wella Professionals Fusion Intense Repair Mask

อีกหนึ่งแบรนด์ซาลอนที่ได้รับความไว้วางใจ Wella Professionals Fusion ถูกออกแบบมาเพื่อซ่อมแซมและปกป้องเส้นผมจากการเปราะขาดโดยเฉพาะ ด้วยเทคโนโลยี “Silksteel Fusion Program” ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากใยแมงมุมซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นใยที่แข็งแรงที่สุดในธรรมชาติ ผสานพลังของ Silk Amino Acids และ Micronized Lipids ที่จะซึมซาบเข้าไปในแกนผม ช่วยฟื้นฟูเส้นใยผมในระดับไมโครและมาโคร ทำให้ผมแข็งแรงขึ้นทันทีถึง 95% และทนทานต่อการขาดร่วงได้ดีขึ้น เนื้อครีมเข้มข้นแต่ไม่หนักผม เหมาะมากสำหรับคนที่ผมเสียจากการฟอก หรือผมที่อ่อนแอขาดง่ายเป็นทุนเดิม

คุณสมบัติเด่น

  • เทคโนโลยี Silksteel Fusion ช่วยซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงให้เส้นผม
  • ลดการเปราะขาดของเส้นผมได้ถึง 95%
  • มีส่วนผสมของกรดอะมิโนจากใยไหม (Silk Amino Acids)
  • เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผมที่ผ่านการฟอกสีและผมที่อ่อนแอมาก
  • ช่วยให้ผมนุ่มลื่นและหวีง่ายขึ้น ไม่พันกัน

6. Tsubaki Premium Repair Mask

ทรีทเม้นท์มาสก์ผมแบรนด์ดังอีกตัวจากญี่ปุ่น ที่ขึ้นชื่อเรื่องการบำรุงแบบเร่งด่วนด้วยนวัตกรรม “0-Second Wait” คือไม่ต้องเสียเวลารอ สามารถล้างออกได้ทันทีแต่ยังให้ผลลัพธ์เหมือนหมักทิ้งไว้นาน! ความลับอยู่ที่เทคโนโลยีการซึมซาบ CMC (Cell Membrane Complex) ที่ช่วยเปิดเส้นทางให้สารบำรุงเข้มข้นอย่าง Camellia Oil, Royal Jelly, และ Pearl Protein ซึมเข้าสู่เส้นผมได้อย่างรวดเร็วและล้ำลึก ช่วยปิดเกล็ดผมและกักเก็บสารบำรุงไว้ภายใน ทำให้ผมนุ่มสลวย เงางาม มีสุขภาพดีตั้งแต่โคนจรดปลาย เหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์เร่งรีบที่ไม่มีเวลาหมักผมนานๆ แต่ยังต้องการการบำรุงเต็มประสิทธิภาพ

คุณสมบัติเด่น

  • นวัตกรรม 0-Second Wait ไม่ต้องรอ สามารถล้างออกได้ทันที
  • เทคโนโลยี CMC ช่วยให้สารบำรุงซึมซาบสู่เส้นผมได้อย่างรวดเร็ว
  • ส่วนผสมจากน้ำมันเมล็ดคามิเลีย (Tsubaki Oil) และรอยัลเจลลี่
  • ให้ผมนุ่มลื่น เงางาม สุขภาพดี เหมือนทำสปาผม
  • กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้และผลไม้

7. Schwarzkopf Professional BC Bonacure Peptide Repair Rescue Treatment

ทรีทเม้นท์คุณภาพระดับซาลอนในราคาที่เข้าถึงง่ายขึ้นจาก Schwarzkopf สูตร Peptide Repair Rescue นี้คือคำตอบสำหรับผมที่ถูกทำร้ายซ้ำซ้อนจนพรุน ด้วยเทคโนโลยี Cell Perfector และ Peptides ที่ทำงานร่วมกันเพื่อเติมเต็มโครงสร้างเส้นผมที่เสียหายจากภายใน พร้อมสร้างเกราะป้องกันบนผิวผมภายนอก สามารถฟื้นคืนความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้เส้นผมที่ถูกทำร้ายมานานถึง 3 ปีได้เลยทีเดียว เนื้อครีมเข้มข้นช่วยบำรุงอย่างล้ำลึก ทำให้ผมนุ่มขึ้น จัดทรงง่าย และลดการชี้ฟูได้อย่างชัดเจน เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนที่ต้องการฟื้นฟูผมเสียอย่างจริงจัง

คุณสมบัติเด่น

  • เทคโนโลยี Peptide Repair Rescue ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผมจากภายใน
  • สามารถซ่อมแซมผมที่เสียหายสะสมได้ถึง 3 ปี
  • เสริมสร้างความแข็งแรงและคืนความยืดหยุ่นให้เส้นผม
  • เหมาะสำหรับผมที่แห้งเสียมากและผ่านการทำเคมีซ้ำซ้อน
  • ให้การบำรุงที่เข้มข้นแต่ไม่ทำให้ผมมันหรือลีบแบน

8. LOLANE Natura Hair Treatment For Dry & Damaged Hair

ข้ามมาที่แบรนด์ไทยคุณภาพที่อยู่คู่คนไทยมานานอย่าง LOLANE กันบ้าง กับทรีทเม้นท์กระปุกเขียวในตำนานที่หลายคนคุ้นเคย สูตรนี้ออกแบบมาเพื่อผมแห้งเสียแตกปลายโดยเฉพาะ ด้วยเทคโนโลยี “Moisture Infusion System” ที่ผสานพลังของ Jojoba Oil, Silk Protein และ Glycerin เข้าไว้ด้วยกัน ช่วยฟื้นบำรุงผมที่แห้งกร้านให้กลับมานุ่ม ชุ่มชื้น มีชีวิตชีวา เนื้อครีมเข้มข้นมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ หลังใช้จะรู้สึกได้ว่าผมนุ่มขึ้นทันที หวีง่ายไม่พันกัน และช่วยลดปัญหาผมแตกปลายได้เมื่อใช้เป็นประจำ ที่สำคัญคือราคาที่เป็นมิตรต่อกระเป๋ามาก ทำให้สามารถใช้บำรุงได้บ่อยเท่าที่ต้องการ

คุณสมบัติเด่น

  • มีส่วนผสมของ Jojoba Oil และ Silk Protein ช่วยเติมความชุ่มชื้น
  • ฟื้นบำรุงผมแห้งเสียแตกปลายให้นุ่มสลวย
  • เนื้อครีมเข้มข้น ให้การบำรุงอย่างเต็มที่
  • ราคาประหยัด หาซื้อง่ายมาก
  • เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมและความไว้วางใจมาอย่างยาวนาน

9. GoHair Age Younger

GoHair เป็นอีกแบรนด์ไทยที่โด่งดังจากผลิตภัณฑ์บำรุงผม โดยเฉพาะตัว “ซิลกี้สาหร่ายทะเล” แต่สำหรับทรีทเม้นท์แบบล้างออก รุ่น Age Younger ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน ผลิตภัณฑ์ตัวนี้เป็นทรีทเม้นท์ที่ช่วยฟื้นฟูผมแห้งเสียอย่างรุนแรงให้กลับมาดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดีอีกครั้ง ด้วยส่วนผสมที่อัดแน่นอย่าง Keratin, วิตามิน A, B5, E และน้ำมันสกัดจากธรรมชาติหลากหลายชนิด ช่วยซ่อมแซมโครงสร้างผมที่พรุน ลดความหยาบกระด้าง ทำให้ผมนุ่มสลวย มีน้ำหนัก และเงางามเป็นประกาย เนื้อครีมเนียนนุ่มและมีกลิ่นหอมติดทนนาน สามารถใช้แทนครีมนวดหรือใช้อบไอน้ำเพื่อการบำรุงที่ล้ำลึกยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับคนที่ผมเสียสะสมมานาน ต้องการการฟื้นฟูแบบเร่งด่วน

คุณสมบัติเด่น

  • อุดมไปด้วยเคราติน วิตามิน และน้ำมันบำรุงผมหลายชนิด
  • ช่วยลดความหยาบกระด้างและฟื้นฟูผมเสียรุนแรง
  • ทำให้ผมนุ่ม มีน้ำหนัก เงางาม แลดูอ่อนเยาว์
  • สามารถใช้ได้ทั้งแบบหมักผมและอบไอน้ำ
  • ช่วยให้ผมจัดทรงง่ายและลดไฟฟ้าสถิต

10. Caring Treatment AHA Formula

ปิดท้ายด้วยทรีทเม้นท์ถูกและดีในตำนานอีกหนึ่งตัว ที่ช่างทำผมในซาลอนหลายแห่งเลือกใช้ Caring Treatment สูตร AHA (กระปุกสีส้ม) โดดเด่นด้วยส่วนผสมของกรดผลไม้ (AHA) ที่มีคุณสมบัติช่วยขจัดเซลล์ผมเก่าและสารเคมีตกค้างบนเส้นผม ทำให้สารบำรุงอื่นๆ สามารถซึมเข้าสู่เส้นผมได้ดียิ่งขึ้น พร้อมด้วยคอลลาเจนและสารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยฟื้นบำรุงผมที่แห้งเสียจากการดัด ย้อม หรือยืด ให้กลับมาแข็งแรงและนุ่มสลวยอีกครั้ง แม้ราคาจะย่อมเยา แต่คุณภาพการบำรุงนั้นเกินราคาไปมาก เหมาะสำหรับใช้เป็นประจำเพื่อรักษาสภาพผมให้แข็งแรงอยู่เสมอ หรือใช้หลังการทำเคมีเพื่อฟื้นฟูผมแบบทันที

คุณสมบัติเด่น

  • มีส่วนผสมของ AHA จากผลไม้ ช่วยทำความสะอาดและเปิดรับการบำรุง
  • มีคอลลาเจน ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้เส้นผม
  • ฟื้นฟูผมเสียจากการทำเคมีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • เป็นที่นิยมใช้ในร้านซาลอนทั่วไป
  • ราคาถูกมากและมีขนาดใหญ่สุดคุ้ม

ตารางเปรียบเทียบ 10 สุดยอดทรีทเม้นท์หมักผมแห่งปี 2025

เพื่อให้เห็นภาพรวมและตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เราได้สรุปข้อมูลสำคัญของทรีทเม้นท์หมักผมทั้ง 10 ยี่ห้อมาไว้ในตารางนี้ค่ะ

ยี่ห้อ จุดเด่น เหมาะกับผมประเภทไหน เนื้อสัมผัส ราคาโดยประมาณ
Olaplex No.3 ซ่อมแซมพันธะแกนผม ผมเสียจากเคมีรุนแรง ครีมบางเบา (ใช้ก่อนสระ) สูง
L’Oréal Absolut Repair ผสาน Gold Quinoa + Protein ผมแห้งเสียมาก เจลครีมสีทอง บางเบา ปานกลาง-สูง
Shiseido Fino ผมนุ่มลื่นดุจแพรไหม ทุกสภาพผม, ผมแห้งเสีย ครีมเข้มข้น ปานกลาง
Kérastase Chronologiste บำรุงล้ำลึกเหมือนสกินแคร์ ผมที่ต้องการฟื้นฟูขั้นสุด ครีมสีดำเข้มข้นหรูหรา สูงมาก
Wella Fusion ลดการเปราะขาด 95% ผมอ่อนแอ, ผมฟอกสี ครีมเข้มข้น ปานกลาง-สูง
Tsubaki Premium Repair บำรุงเร่งด่วน 0 วินาที ทุกสภาพผม, คนไม่มีเวลา ครีมเนียนนุ่ม ปานกลาง
Schwarzkopf Repair Rescue ฟื้นฟูผมเสียสะสม 3 ปี ผมเสียซ้ำซ้อน ครีมเข้มข้น ปานกลาง
LOLANE Natura บำรุงผมแห้งแตกปลาย ผมแห้งเสียทั่วไป ครีมข้นหนืด ถูก
GoHair Age Younger ฟื้นฟูผมเสียรุนแรง ผมเสียสะสม, ผมหยาบ ครีมเนียนนุ่ม ถูก-ปานกลาง
Caring Treatment AHA ดีท็อกซ์และบำรุง ผมผ่านการทำเคมี ครีมเข้มข้น ถูกมาก

เคล็ดลับการใช้ทรีทเม้นท์หมักผมให้ได้ผลลัพธ์เหมือนทำที่ซาลอน

การมีผลิตภัณฑ์ที่ดีอยู่ในมือเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของความสำเร็จ อีกครึ่งหนึ่งคือการใช้ให้ถูกวิธีเพื่อดึงประสิทธิภาพสูงสุดออกมา ลองทำตามเคล็ดลับง่ายๆ เหล่านี้ดูนะคะ

  1. สระผมให้สะอาด: เริ่มต้นด้วยการสระผมด้วยแชมพู 1-2 ครั้ง เพื่อชะล้างสิ่งสกปรกและน้ำมันส่วนเกินออกไปให้หมดจด เป็นการเปิดเกล็ดผมเตรียมรับการบำรุง
  2. บีบน้ำออกจากผม: หลังสระผมเสร็จ ให้ใช้มือค่อยๆ บีบน้ำส่วนเกินออกจากเส้นผมให้หมาดที่สุด หรือใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ ซับเบาๆ การที่ผมไม่เปียกโชกจะช่วยให้ทรีทเม้นท์มีความเข้มข้นและซึมซาบได้ดีขึ้น
  3. แบ่งผมเป็นช่อแล้วชโลมทรีทเม้นท์: แบ่งผมออกเป็น 4-6 ช่อเล็กๆ แล้วค่อยๆ ชโลมเนื้อทรีทเม้นท์ลงบนแต่ละช่อ ตั้งแต่ช่วงกลางผมไปจนถึงปลายผม ซึ่งเป็นส่วนที่มักจะแห้งเสียที่สุด พยายามหลีกเลี่ยงการทาลงบนหนังศีรษะโดยตรงเพื่อป้องกันผมมันเร็วกว่าปกติ
  4. นวดและหวีเบาๆ: ใช้นิ้วมือนวดวนเบาๆ เพื่อให้เนื้อทรีทเม้นท์กระจายตัวอย่างทั่วถึง อาจใช้หวีซี่ห่างค่อยๆ สางผมเพื่อให้ทรีทเม้นท์เคลือบทุกเส้น
  5. เพิ่มความร้อนเพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่า: นำหมวกคลุมผมพลาสติกมาคลุมไว้ แล้วใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นบิดหมาดๆ มาพันทับอีกชั้น ความร้อนจะช่วยเปิดเกล็ดผมให้กว้างขึ้น ทำให้สารบำรุงซึมลึกเข้าไปได้มากยิ่งขึ้น
  6. ทิ้งไว้ตามเวลาที่กำหนด: ทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที หรือตามเวลาที่ระบุไว้บนฉลากผลิตภัณฑ์ การทิ้งไว้นานเกินไปอาจไม่ได้ช่วยให้ผลลัพธ์ดีขึ้นเสมอไป
  7. ล้างออกให้สะอาด: ล้างทรีทเม้นท์ออกด้วยน้ำอุณหภูมิปกติหรือน้ำเย็น (เพื่อช่วยปิดเกล็ดผม) ล้างจนรู้สึกว่าผมสะอาด ไม่มีความลื่นของเนื้อครีมหลงเหลืออยู่

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. ควรใช้ทรีทเม้นท์หมักผมบ่อยแค่ไหน?

ความถี่ขึ้นอยู่กับสภาพผมค่ะ สำหรับผมเสียมาก อาจใช้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งในช่วงแรกที่ต้องการฟื้นฟูเร่งด่วน สำหรับผมธรรมดาหรือเสียเล็กน้อย การใช้สัปดาห์ละ 1 ครั้งก็เพียงพอต่อการรักษาสภาพผมให้สุขภาพดีอย่างต่อเนื่องค่ะ

2. ทรีทเม้นท์หมักผมแตกต่างจากครีมนวดผมอย่างไร?

ครีมนวดผม (Conditioner) มีหน้าที่หลักในการเคลือบปิดเกล็ดผมชั้นนอก ทำให้ผมนุ่มลื่น หวีง่าย และลดไฟฟ้าสถิต เหมาะสำหรับใช้ทุกวันหลังสระผม ส่วน ทรีทเม้นท์หมักผม (Hair Treatment/Mask) จะมีโมเลกุลเล็กกว่าและมีสารบำรุงที่เข้มข้นกว่า สามารถซึมลึกเข้าไปซ่อมแซมถึงโครงสร้างแกนผม จึงเป็นการบำรุงที่ล้ำลึกกว่าและใช้เวลาในการหมักนานกว่าค่ะ

3. ใช้ทรีทเม้นท์แล้วจะทำให้ผมมันหรือลีบแบนไหม?

ปัญหานี้มักเกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผม หรือใช้ผิดวิธีค่ะ หากคุณเป็นคนผมมันง่าย ควรเลือกทรีทเม้นท์เนื้อบางเบา (เช่น เนื้อเจล) และที่สำคัญคือหลีกเลี่ยงการชโลมทรีทเม้นท์บริเวณโคนผมและหนังศีรษะ ให้เน้นบำรุงตั้งแต่กลางผมถึงปลายผม และต้องล้างออกให้สะอาดหมดจด ก็จะช่วยลดปัญหานี้ได้ค่ะ

4. จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ในไลน์เดียวกันทั้งหมด (แชมพู, ครีมนวด, ทรีทเม้นท์) หรือไม่?

ไม่จำเป็นเสมอไป แต่แนะนำค่ะ การใช้ผลิตภัณฑ์ในไลน์เดียวกันมักจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เนื่องจากผลิตภัณฑ์ถูกออกแบบมาให้ทำงานส่งเสริมกันและกัน แต่คุณก็สามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ต่างแบรนด์ที่ตอบโจทย์ปัญหาผมของคุณได้เช่นกัน เช่น อาจใช้แชมพูสำหรับหนังศีรษะมัน แต่ใช้ทรีทเม้นท์สำหรับผมทำสีที่ปลายผมก็ได้ค่ะ

บทสรุป

การมีเส้นผมที่สวยงามและสุขภาพดีไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป การเลือก “ทรีทเม้นท์หมักผม” ที่ใช่และเหมาะสมกับปัญหาของเรา ถือเป็นการลงทุนดูแลตัวเองที่เห็นผลชัดเจนและคุ้มค่าที่สุด จากลิสต์ 10 ทรีทเม้นท์หมักผม ยี่ห้อไหนดี 2025 ที่เราได้รวบรวมมาให้ จะเห็นได้ว่ามีตัวเลือกที่หลากหลายครอบคลุมทุกสภาพผมและทุกงบประมาณ ตั้งแต่แบรนด์ไทยคุณภาพดีราคาประหยัด ไปจนถึงแบรนด์ซาลอนระดับโลกที่ให้ผลลัพธ์น่าทึ่ง

สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำความเข้าใจความต้องการของเส้นผมตัวเอง และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอควบคู่ไปกับการดูแลอย่างถูกวิธี หวังว่าบทความนี้จาก soodd.com จะเป็นคู่มือชั้นเยี่ยมที่ช่วยให้ทุกคนสามารถตัดสินใจเลือกฮีโร่มาช่วยกู้ผมเสียให้กลับมานุ่มสลวย แข็งแรง และเปล่งประกายความงามได้อย่างมั่นใจนะคะ

Image by: Karl Solano
https://www.pexels.com/@karlsolano

The Digital Alchemist (นักเล่นแร่แปรธาตุดิจิทัล)
ผู้ถักทอเรื่องราวและประสบการณ์ผ่านผืนผ้าใบดิจิทัล The Digital Alchemist แห่ง Sooddd.com ไม่เพียงแต่รังสรรค์เนื้อหา แต่ยังปรุงแต่งแรงบันดาลใจ เปลี่ยนแปลงข้อมูลให้เป็นปัญญา และสร้างสรรค์โลกออนไลน์ที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน ด้วยวิสัยทัศน์เฉียบคมและความมุ่งมั่นที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เขาคือผู้พลิกโฉมสิ่งธรรมดาให้กลายเป็นความพิเศษในทุกการคลิก