การลงทุนทำสีผมสวยๆ สักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสีแฟชั่นสุดจี๊ดจ๊าด หรือสีคลาสสิกที่ช่วยเสริมลุคให้ดูดีมีสไตล์ ล้วนเป็นความสุขของผู้หญิงหลายๆ คน แต่ความสุขนั้นอาจอยู่กับเราไม่นานนักเมื่อต้องเจอกับปัญหา “สีผมเฟด” หรือซีดจางลงอย่างรวดเร็วหลังสระผมเพียงไม่กี่ครั้ง จากสีที่เคยสดใสกลับหมองคล้ำไม่เหมือนวันที่เพิ่งออกจากซาลอน ปัญหานี้สร้างความกังวลใจและทำให้หลายคนรู้สึกเสียดายทั้งเงินและเวลาที่ลงทุนไป แต่ไม่ต้องกังวลครับ! เพราะกุญแจสำคัญในการล็อกสีผมให้อยู่กับเราไปนานๆ นั้นเริ่มต้นตั้งแต่ขั้นตอนพื้นฐานที่สุดอย่าง “การเลือกแชมพู” บทความนี้ soodd.com ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเส้นผม จะพาคุณไปเจาะลึกทุกแง่มุมของการเลือกแชมพูสำหรับผมทำสี พร้อมเปิดโผรีวิว 10 แชมพูตัวเด็ดประจำปี 2025 ที่จะช่วยถนอมสีผมของคุณให้สวยสดใส ติดทนนาน เหมือนเพิ่งทำสีมาใหม่ๆ ทุกวัน!
ทำไมผมทำสีถึงต้องการการดูแลเป็นพิเศษด้วยแชมพูสำหรับผมทำสีโดยเฉพาะ?
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเราไม่สามารถใช้แชมพูสูตรธรรมดากับผมทำสีได้ คำตอบนั้นซ่อนอยู่ในกระบวนการทางเคมีของการทำสีผมครับ เวลาเราย้อมสีผม น้ำยาจะเข้าไปเปิดเกล็ดผม (Hair Cuticle) เพื่อให้เม็ดสีใหม่สามารถแทรกซึมเข้าไปในแกนผมได้ ซึ่งกระบวนการนี้เองที่ทำให้โครงสร้างเส้นผมเปลี่ยนแปลงไปและอ่อนแอลง เกล็ดผมที่เคยปิดสนิทจะเปิดออกเล็กน้อย ทำให้ผมสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย และในขณะเดียวกัน เม็ดสีที่เพิ่งใส่เข้าไปก็พร้อมจะหลุดลอดออกมาได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะเมื่อเจอกับปัจจัยกระตุ้นต่างๆ
ปัจจัยหลักที่ทำให้สีผมซีดจางอย่างรวดเร็ว ได้แก่:
- การสระผมด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน: ความร้อนจะยิ่งทำให้เกล็ดผมเปิดกว้างขึ้น ส่งผลให้เม็ดสีหลุดออกมาพร้อมกับน้ำที่เราใช้สระผม
- สารทำความสะอาดที่รุนแรง: แชมพูสูตรทั่วไปมักมีสารซัลเฟต (Sulfates) เช่น Sodium Lauryl Sulfate (SLS) หรือ Sodium Laureth Sulfate (SLES) ซึ่งเป็นสารลดแรงตึงผิวที่ช่วยให้เกิดฟองและทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึก แต่มันก็รุนแรงเกินไปสำหรับผมทำสี เพราะจะเข้าไปชะล้างทั้งความมันตามธรรมชาติและเม็ดสีผมออกไปอย่างรวดเร็ว
- รังสียูวีจากแสงแดด: ศัตรูตัวฉกาจที่ไม่เพียงทำร้ายผิว แต่ยังทำลายเม็ดสีในเส้นผม ทำให้สีผมที่เคยสดใสดูแห้งและซีดจางลงได้
- ความร้อนจากการจัดแต่งทรงผม: การใช้ไดร์เป่าผม ที่หนีบผม หรือที่ม้วนผมไฟฟ้าโดยไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันความร้อน จะเป็นการทำร้ายเกล็ดผมและเร่งให้สีผมเฟดเร็วขึ้น
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ แชมพูสำหรับผมทำสี จึงถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้โดยเฉพาะ โดยมีคุณสมบัติหลักคือความอ่อนโยน ปราศจากสารซัลเฟตที่รุนแรง มีค่า pH ที่เหมาะสม ช่วยปิดเกล็ดผมให้เรียบสนิท และมักอุดมไปด้วยสารบำรุงที่ช่วยเติมความชุ่มชื้น ฟื้นฟูผมที่อ่อนแอจากการทำเคมี พร้อมทั้งมีส่วนผสมที่ช่วยปกป้องสีผมจากรังสียูวีอีกด้วย การเลือกใช้แชมพูที่ถูกต้องจึงเปรียบเสมือนการสร้างเกราะป้องกันชั้นแรกให้สีผมสวยๆ ของคุณนั่นเอง
วิธีเลือกแชมพูสำหรับผมทำสีให้ตอบโจทย์ที่สุด: เช็คลิสต์ที่ต้องรู้!
การจะหาแชมพูที่ใช่สำหรับผมทำสี ไม่ใช่แค่การหยิบขวดไหนก็ได้ที่มีคำว่า “For Color-Treated Hair” แต่เราต้องพิจารณาส่วนผสมและคุณสมบัติอื่นๆ ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์สภาพเส้นผมของเราจริงๆ มาดูเช็คลิสต์สำคัญที่ soodd.com แนะนำกันครับ
ส่วนผสมที่ควรมองหา (The Good Guys)
มองหาส่วนผสมเหล่านี้บนฉลากผลิตภัณฑ์ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้แชมพูที่ช่วยบำรุงและปกป้องสีผมอย่างแท้จริง
- สารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยล็อกสีผม: เช่น สารสกัดจากเมล็ดทานตะวัน, กล้วยไม้ (Orchid Oil), ทับทิม, ชาเขียว ซึ่งอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ช่วยปกป้องเส้นผมจากมลภาวะและรังสียูวี ชะลอการซีดจางของสี
- ส่วนผสมเติมความชุ่มชื้นและฟื้นบำรุง: มองหา เคราติน (Keratin), โปรตีน (Protein), อาร์แกนออยล์ (Argan Oil), โจโจ้บาออยล์ (Jojoba Oil), หรือเชียบัตเตอร์ (Shea Butter) ส่วนผสมเหล่านี้จะช่วยฟื้นฟูผมที่แห้งเสียจากการทำสีให้นุ่มสลวย มีน้ำหนัก และเงางาม
- สารป้องกันรังสียูวี (UV Filters): ผลิตภัณฑ์บางชนิดจะระบุชัดเจนว่ามี “UV Protection” หรือ “UV Filters” ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากสำหรับคนที่ต้องเจอแดดเป็นประจำ
ส่วนผสมที่ควรหลีกเลี่ยง (The Bad Guys)
พลิกดูฉลากด้านหลังและพยายามหลีกเลี่ยงแชมพูที่มีส่วนผสมเหล่านี้
- ซัลเฟต (Sulfates – SLS/SLES): ดังที่กล่าวไปข้างต้น สารทำความสะอาดกลุ่มนี้รุนแรงเกินไปและเป็นตัวการหลักที่ชะล้างสีผมให้จางเร็ว ควรเลือกแชมพูที่ระบุว่า “Sulfate-Free” หรือ “ปราศจากซัลเฟต”
- พาราเบน (Parabens): เป็นสารกันเสียที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อหนังศีรษะที่บอบบางได้ และอาจส่งผลต่อสีผมในระยะยาว
- แอลกอฮอล์บางชนิด: แอลกอฮอล์ที่อยู่ในกลุ่มทำให้ผมแห้ง (Drying Alcohols) เช่น Isopropyl Alcohol หรือ Propyl Alcohol อาจทำให้ผมที่แห้งอยู่แล้วยิ่งแห้งและกระด้างมากขึ้น
เปิดกรุ! รีวิว 10 แชมพูสำหรับผมทำสี ยี่ห้อไหนดี 2025 ล็อกสีผมสวยปัง
มาถึงส่วนที่ทุกคนรอคอย! เราได้รวบรวมและคัดเลือก 10 แชมพูสำหรับผมทำสีตัวท็อป ที่ได้รับการยอมรับจากทั้งผู้ใช้งานจริงและช่างทำผมมืออาชีพ ครอบคลุมตั้งแต่แบรนด์ที่หาซื้อง่ายไปจนถึงแบรนด์ระดับซาลอนพรีเมียม มาดูกันเลยว่ามีตัวไหนน่าสนใจบ้าง
1. L’Oréal Professionnel Vitamino Color Resveratrol Shampoo
เริ่มต้นกันที่แชมพูขวัญใจร้านซาลอนชั้นนำอย่าง L’Oréal Professionnel สูตร Vitamino Color ที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี కో-ఎమల్షన్ (Co-Emulsion) ที่มีอณูเล็กกว่าแชมพูทั่วไปถึง 50 เท่า ทำให้สามารถทำความสะอาดได้อย่างอ่อนโยนโดยไม่ทำร้ายเม็ดสี พร้อมเข้าบำรุงเส้นผมได้อย่างล้ำลึก เนื้อแชมพูเป็นเจลครีมสีชมพูอ่อนๆ กลิ่นหอมหรูหราสไตล์ซาลอน ให้ฟองละเอียดนุ่ม หลังสระจะรู้สึกได้ทันทีว่าผมนุ่มขึ้น ไม่พันกัน และที่สำคัญคือช่วยขับสีผมให้ดูสดใสและเงางามขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ด้วยส่วนผสมหลักอย่าง Resveratrol ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูงที่สกัดจากเปลือกองุ่น ช่วยปกป้องเส้นผมจากปัจจัยภายนอกที่ทำร้ายสีผมได้ถึง 3 ประการ คือ รังสียูวี, อนุมูลอิสระ และการชะล้าง จึงช่วยล็อกสีผมให้อยู่นานสูงสุดถึง 8 สัปดาห์ เหมาะสำหรับทุกสภาพผมทำสีที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษเพื่อคงความสดของสีให้ยาวนานที่สุด
คุณสมบัติเด่น:
- มี Resveratrol สารต้านอนุมูลอิสระเข้มข้น ช่วยปกป้องสีผมจากรังสียูวี
- เทคโนโลยี Co-Emulsion ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยนและบำรุงล้ำลึก
- ช่วยล็อกสีผมให้สวยสดใสยาวนานสูงสุด 8 สัปดาห์
- มอบความเงางามให้เส้นผมถึง 6 เท่า
- กลิ่นหอมหรูหราติดผมยาวนาน
- เหมาะสำหรับผมทำสีทุกประเภท โดยเฉพาะผมที่ต้องการความเงางามเป็นพิเศษ
2. Kérastase Chroma Absolu Bain Riche Chroma Respect Shampoo
สำหรับใครที่ทำสีผมแล้วประสบปัญหาผมแห้งเสีย ชี้ฟู และกระด้างอย่างรุนแรง Kérastase Chroma Absolu สูตร Bain Riche คือคำตอบสุดท้ายของคุณ แชมพูตัวนี้เป็นสูตรสำหรับผมทำสีที่หนาและแห้งเสียโดยเฉพาะ เนื้อแชมพูเข้มข้นแต่ให้การบำรุงที่ล้ำลึกถึงขีดสุด อุดมไปด้วยส่วนผสมทรงพลังอย่าง Lactic Acid ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าบนเส้นผมอย่างอ่อนโยน ทำให้เกล็ดผมเรียบเนียนและสะท้อนแสงได้ดีขึ้น และ Centella Asiatica หรือสารสกัดจากใบบัวบกที่ขึ้นชื่อเรื่องการฟื้นฟูและปลอบประโลม ช่วยซ่อมแซมโครงสร้างผมที่ถูกทำลายจากการทำสีได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังใช้จะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลง ผมที่เคยแห้งกรอบกลับมานุ่ม ชุ่มชื้น มีน้ำหนัก จัดทรงง่าย และลดปัญหาผมชี้ฟูได้ดีเยี่ยม แม้ราคาจะสูง แต่คุณภาพการบำรุงที่ได้รับนั้นคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ ถือเป็นแชมพูที่ช่วยฟื้นคืนชีพให้ผมทำสีที่อ่อนแออย่างแท้จริง
คุณสมบัติเด่น:
- สูตร Sulfate-Free อ่อนโยนต่อผมทำสีและหนังศีรษะ
- มี Lactic Acid ช่วยให้เกล็ดผมเรียบเนียน เพิ่มความเงางาม
- ผสานคุณค่าจาก Centella Asiatica ช่วยฟื้นบำรุงผมเสียอย่างล้ำลึก
- ลดความพรุนของเส้นผม ทำให้สีผมติดทนและสม่ำเสมอขึ้น
- เพิ่มความชุ่มชื้นให้เส้นผมได้ถึง 95%
- เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผมทำสีเส้นใหญ่ ผมแห้งเสียมาก หรือผ่านการฟอกสี
3. Olaplex No. 4C Bond Maintenance Clarifying Shampoo
หากคุณรู้สึกว่าผมทำสีของคุณเริ่มดูหมองคล้ำ ไม่สดใสเหมือนเดิม แม้จะใช้แชมพูถนอมสีผมอยู่แล้วก็ตาม อาจเป็นเพราะมีสิ่งสกปรกและสารเคมีตกค้างสะสมอยู่บนเส้นผม Olaplex No. 4C คือแชมพูดีท็อกซ์หรือ Clarifying Shampoo ที่ออกแบบมาเพื่อผมทำสีโดยเฉพาะ ด้วยเทคโนโลยี Bond-Building เอกสิทธิ์ของ Olaplex ที่ช่วยซ่อมแซมพันธะผมที่เสียหาย ควบคู่ไปกับระบบทำความสะอาด Broad-Spectrum Clarifying System ที่ช่วยขจัดสิ่งสกปรก, ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม, คลอรีน, และแร่ธาตุจากน้ำกระด้างออกไปได้อย่างหมดจด โดยไม่ทำให้ผมแห้งกระด้างและไม่ดึงเม็ดสีผมออกไปเหมือนแชมพูดีท็อกซ์ทั่วไป ควรใช้สัปดาห์ละ 1 ครั้งเพื่อเป็นการ “รีเซ็ต” เส้นผม ทำให้ผมเบาสบาย พร้อมรับการบำรุงในขั้นตอนต่อไปได้ดีขึ้น และช่วยให้สีผมกลับมาสดใสมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
คุณสมบัติเด่น:
- เป็น Clarifying Shampoo ที่ปลอดภัยสำหรับผมทำสี
- มีเทคโนโลยี Bond-Building ช่วยซ่อมแซมแกนผมจากภายใน
- ช่วยขจัดสิ่งสกปรกและสารเคมีตกค้างได้อย่างล้ำลึก
- ปราศจากซัลเฟต, พาราเบน และกลูเตน
- ช่วยให้สีผมกลับมาสดใสและเงางาม
- แนะนำให้ใช้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อเป็นการดีท็อกซ์เส้นผม
4. TRESemmé Color Radiance & Repair for Colored Hair Shampoo
มาต่อกันที่แชมพูคุณภาพดีในราคาสบายกระเป๋าที่หาซื้อได้ง่ายอย่าง TRESemmé สูตร Color Radiance & Repair ขวดสีแดงในตำนาน สูตรนี้ถูกพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์คนทำสีผมโดยเฉพาะ ด้วย Plant Placenta Extract จากธรรมชาติ ที่ช่วยสร้างเกราะป้องกันไม่ให้สีผมถูกชะล้างออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งช่วยฟื้นบำรุงแกนผมที่อ่อนแอให้กลับมาแข็งแรง เนื้อแชมพูให้ฟองกำลังดี ล้างออกง่าย และมีกลิ่นหอมสดชื่นเป็นเอกลักษณ์ จุดเด่นของรุ่นนี้คือการผสาน 2 คุณสมบัติไว้ในหนึ่งเดียว คือทั้ง “ล็อกสีผม” ให้อยู่ทนนาน และ “ซ่อมแซมผมเสีย” จากการทำเคมีไปพร้อมๆ กัน ทำให้ผมหลังสระนุ่มลื่น ไม่แห้งสาก และยังคงสีสันที่คมชัดสดใสไว้ได้ยาวนาน เหมาะสำหรับนักเรียน นักศึกษา หรือผู้ที่เริ่มต้นดูแลผมทำสีและมองหาผลิตภัณฑ์ที่คุ้มค่าคุ้มราคา
คุณสมบัติเด่น:
- มี Plant Placenta Extract ช่วยสร้างเกราะป้องกันและล็อกสีผม
- ช่วยป้องกันสีผมซีดจางได้ยาวนาน
- ฟื้นบำรุงผมที่แห้งเสียจากการทำสีให้นุ่มสวย
- เทคโนโลยี Color Radiance Booster ช่วยขับประกายสีผมให้เด่นชัด
- ราคาเข้าถึงง่าย หาซื้อสะดวก
- เหมาะสำหรับผมทำสีทุกสภาพที่ต้องการการดูแลในชีวิตประจำวัน
5. Schwarzkopf Professional BC Bonacure pH 4.5 Color Freeze Sulfate-Free Shampoo
อีกหนึ่งแชมพูจากแบรนด์ซาลอนชื่อดังที่ช่างผมไว้วางใจ Schwarzkopf BC Bonacure pH 4.5 Color Freeze โดดเด่นด้วยนวัตกรรม pH 4.5 Balancer Technology ที่ได้รับการจดสิทธิบัตร ซึ่งเป็นค่า pH ที่เหมาะสมที่สุดในการ “แช่แข็ง” หรือ Freeze เม็ดสีให้อยู่ในโครงสร้างเส้นผมได้อย่างสมบูรณ์ หลักการทำงานคือการปรับสภาพเส้นผมและหนังศีรษะให้มีค่า pH 4.5 ซึ่งจะช่วยให้เกล็ดผมปิดสนิทและล็อกเม็ดสีไว้ภายในได้อย่างแน่นหนาที่สุด ผลลัพธ์คือสามารถป้องกันการซีดจางของสีผมได้เกือบ 100% จนกว่าจะถึงเวลาทำสีครั้งต่อไป นอกจากนี้ยังเป็นสูตร Sulfate-Free ที่อ่อนโยน และมีเทคโนโลยี Cell Equalizer ช่วยเติมเต็มช่องว่างในโครงสร้างผม ทำให้เส้นผมแข็งแรงและเรียบลื่นขึ้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เพิ่งทำสีผมมาใหม่ๆ และต้องการล็อกสีให้สวยเป๊ะไปนานที่สุด
คุณสมบัติเด่น:
- นวัตกรรม pH 4.5 Balancer Technology ล็อกเม็ดสีในเส้นผมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ป้องกันสีผมซีดจางได้ดีเยี่ยม
- สูตรปราศจากซัลเฟต (Sulfate-Free), ซิลิโคน และสีสังเคราะห์
- เทคโนโลยี Vegan Keratin ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผมให้แข็งแรง
- ช่วยให้สีผมคงความสดใสเหมือนวันแรกที่ทำ
- เหมาะสำหรับทุกสภาพผมทำสี โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการการปกป้องสีผมขั้นสุด
6. Lolane Pixxel Color Refresh Shampoo
สำหรับสายแฟชั่นที่รักการทำสีผมโทนหม่น เทา ชมพู หรือสีพาสเทลต่างๆ ที่มักจะหลุดเร็วกว่าสีอื่น “แชมพูเติมประกายสี” หรือแชมพูม่วง/ชมพู คือไอเทมที่ขาดไม่ได้ Lolane Pixxel Color Refresh Shampoo เป็นแชมพูที่ทำหน้าที่ทั้งทำความสะอาดและ “เติมเม็ดสี” ไปพร้อมๆ กัน ช่วยชะลอการเฟดของสีผมได้อย่างน่าทึ่ง ตัวแชมพูม่วง (Anti-Yellow) จะช่วยกดเม็ดสีเหลืองบนผมที่ผ่านการฟอก ทำให้สีเทาหรือสีบลอนด์หม่นคงความสวย ไม่ติดเหลือง ส่วนแชมพูสีอื่นๆ เช่น สีชมพู, พีช ก็จะช่วยเติมประกายสีนั้นๆ ให้สดใหม่อยู่เสมอ นอกจากนี้ยังปราศจากแอมโมเนียและไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ จึงไม่ทำร้ายเส้นผมเพิ่มเติม และมี Provitamin B5 และคุณค่าจาก Inca Omega Oil ช่วยบำรุงให้ผมนุ่มชุ่มชื้น ไม่แห้งกระด้าง วิธีใช้คือสระทิ้งไว้ 5-10 นาทีแล้วล้างออก ใช้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งสลับกับแชมพูปกป้องสีผมทั่วไป
คุณสมบัติเด่น:
- เป็นแชมพูเติมประกายสี ช่วยลดการเฟดของสีผมแฟชั่น
- มีให้เลือกหลายเฉดสี เช่น ม่วง (สำหรับผมเทา/บลอนด์), ชมพู, พีช, ฟ้า
- ช่วยลดประกายสีเหลือง/ส้มที่ไม่ต้องการในผมฟอก
- ปราศจากแอมโมเนียและไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
- มี Provitamin B5 และ Inca Omega Oil ช่วยบำรุงผมให้นุ่มสลวย
- เหมาะสำหรับผู้ที่ทำสีผมโทนหม่น สีพาสเทล หรือสีแฟชั่นที่หลุดง่าย
7. Wella Professionals ColorMotion+ Color Protection Shampoo
Wella Professionals เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่อยู่คู่ซาลอนมายาวนาน และแชมพูสูตร ColorMotion+ ก็เป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนามาเพื่อการดูแลผมทำสีแบบครบวงจร 3-in-1 คือ ปกป้องสีผม, เพิ่มความเงางาม และเสริมความแข็งแรงของเส้นผม จุดเด่นคือเทคโนโลยี Free Radicals Protection ที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยปกป้องโมเลกุลสีจากอนุมูลอิสระในน้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของสีผมที่ซีดจาง นอกจากนี้ยังมี Hair Surface Polisher ที่ช่วยปรับสภาพเกล็ดผมให้เรียบลื่นและจัดเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ ทำให้ผมสะท้อนแสงได้ดีขึ้น เกิดเป็นความเงางามที่เห็นได้ชัด และ WellaPlex Bonding Agent ที่ช่วยฟื้นฟูและเชื่อมพันธะแกนผมให้แข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก เรียกได้ว่าดูแลครบจบในขวดเดียว เหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์ระดับซาลอนในทุกๆ วัน
คุณสมบัติเด่น:
- ดูแลผมทำสีครบ 3 ด้าน: ปกป้องสี, เพิ่มความเงา, เสริมความแข็งแรง
- มีเทคโนโลยี Free Radicals Protection ช่วยปกป้องสีผมจากอนุมูลอิสระ
- WellaPlex Bonding Agent ช่วยซ่อมแซมพันธะเส้นผม
- ช่วยให้สีผมสวยสดใสยาวนานถึง 8 สัปดาห์
- มอบสัมผัสผมนุ่มลื่นและเงางามเป็นพิเศษ
- เหมาะสำหรับผมทำสีที่ต้องการการบำรุงและฟื้นฟูความแข็งแรงควบคู่กัน
8. OGX Fade-Defying + Orchid Oil Shampoo
แบรนด์ OGX ขึ้นชื่อเรื่องการนำส่วนผสมแปลกใหม่จากธรรมชาติมาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่ไม่เหมือนใคร และสำหรับผมทำสี สูตร Fade-Defying + Orchid Oil ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ด้วยส่วนผสมหลักจากน้ำมันดอกกล้วยไม้ (Orchid Oil) และสารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grapeseed Extract) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องคุณสมบัติการช่วยชะลอความเสื่อมและปกป้องสีสันไม่ให้ซีดจางก่อนเวลาอันควร นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องเส้นผมจากรังสียูวีได้อีกด้วย จุดเด่นของแชมพู OGX คือเป็นสูตร Sulfate-Free ที่อ่อนโยนต่อเส้นผมและหนังศีรษะ ให้ฟองน้อยแต่ทำความสะอาดได้ดี พร้อมกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ของดอกไม้ที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายขณะสระผม หลังใช้จะรู้สึกว่าผมนุ่ม ชุ่มชื้น และสีผมดูมีชีวิตชีวาขึ้น เป็นอีกหนึ่งแชมพูสายธรรมชาติที่คุณภาพดีและน่าลอง
คุณสมบัติเด่น:
- สูตรปราศจากซัลเฟต (Sulfate-Free Surfactants)
- ผสานคุณค่าจากน้ำมันดอกกล้วยไม้และสารสกัดเมล็ดองุ่น
- ช่วยชะลอการซีดจางของสีผม (Fade-Defying)
- มีส่วนผสมช่วยกรองรังสี UVA/UVB
- มอบความชุ่มชื้นให้เส้นผมนุ่มสลวย ไม่แห้งกร้าน
- กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ติดทนนาน
9. Aveda Color Control Shampoo
สำหรับสาวกผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกและวีแกน Aveda คือแบรนด์ที่ตอบโจทย์ในทุกมิติ แชมพู Aveda Color Control เป็นแชมพูที่คิดค้นมาเพื่อปกป้องสีผมด้วยพลังจากธรรมชาติถึง 94% โดยใช้เทคโนโลยี Botanical Cleansers ที่ได้จากพืชมาทำความสะอาดเส้นผมอย่างอ่อนโยนที่สุด เพื่อลดการชะล้างเม็ดสีให้น้อยลง จุดเด่นที่น่าทึ่งคือ “Dual-charged molecules” ที่สร้างเกราะป้องกันที่มองไม่เห็นขึ้นมาเคลือบเส้นผม ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำซึมเข้าไปทำลายเม็ดสี และยังมีสารสกัดจากแอปริคอตและน้ำมันพืชธรรมชาติที่ช่วยบำรุงให้ผมนุ่มลื่น เงางาม ปราศจากส่วนผสมของซิลิโคนและซัลเฟต มาพร้อมกลิ่นหอม Pure-Fume™ อันเป็นเอกลักษณ์ของ Aveda ที่สกัดจากดอกไม้และพืชพรรณนานาชนิด ให้ความรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลายเหมือนทำสปาผมอยู่ที่บ้าน
คุณสมบัติเด่น:
- ส่วนผสมจากธรรมชาติ 94% และเป็นผลิตภัณฑ์วีแกน (Vegan)
- ปราศจากซิลิโคนและซัลเฟต (Silicone-Free & Sulfate-Free)
- เทคโนโลยี Dual-charged molecules สร้างเกราะป้องกันสีผม
- ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน ลดการชะล้างเม็ดสี
- กลิ่นหอมอโรม่า Pure-Fume™ จากธรรมชาติ
- เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบผลิตภัณฑ์สายออร์แกนิกและมีหนังศีรษะแพ้ง่าย
10. Yves Rocher Color Protection & Radiance Shampoo
ปิดท้ายด้วยแบรนด์จากฝรั่งเศสที่เน้นส่วนผสมจากพฤกษศาสตร์อย่าง Yves Rocher กับแชมพูสูตร Color Protection & Radiance ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติกว่า 91% หัวใจสำคัญของสูตรนี้คือ Agave Fructans ที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณหนังศีรษะ ทำให้รากผมแข็งแรงขึ้น และ Acai Pulp ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเส้นใยผมจากปัจจัยภายนอกที่ทำร้ายสีผม เนื้อแชมพูเป็นเจลใส ให้ฟองพอประมาณ ทำความสะอาดได้อย่างอ่อนโยนโดยไม่ทำให้ผมแห้งตึง เป็นสูตรที่ปราศจากซิลิโคน ทำให้ผมเบาสบาย ไม่หนักหรือลีบแบน และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยขวดที่สามารถรีไซเคิลได้ 100% เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มองหาแชมพูถนอมสีผมที่อ่อนโยน ราคาไม่แพง และใส่ใจในสิ่งแวดล้อม
คุณสมบัติเด่น:
- มีส่วนผสมจากธรรมชาติมากกว่า 91%
- Agave Fructans ช่วยบำรุงหนังศีรษะให้แข็งแรง
- Acai Pulp อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องสีผม
- สูตรปราศจากซิลิโคน (Silicone-Free) ให้ผมเบาสบาย
- ขวดบรรจุภัณฑ์สามารถรีไซเคิลได้
- เหมาะสำหรับผมทำสีที่ต้องการความอ่อนโยนเป็นพิเศษและไม่ต้องการให้ผมลีบแบน
ตารางเปรียบเทียบ 10 แชมพูสำหรับผมทำสี ยี่ห้อไหนดี 2025
เพื่อให้เห็นภาพรวมและตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เราได้สรุปข้อมูลสำคัญของแชมพูแต่ละยี่ห้อมาไว้ในตารางเปรียบเทียบนี้ครับ
ชื่อผลิตภัณฑ์ | จุดเด่นที่สุด | เหมาะกับใคร | ราคาโดยประมาณ |
---|---|---|---|
L’Oréal Professionnel Vitamino Color | ล็อกสีผมยาวนาน 8 สัปดาห์ เพิ่มความเงางาม 6 เท่า | ผมทำสีทุกประเภทที่ต้องการความเงางามและสีสดชัด | ปานกลาง – สูง |
Kérastase Chroma Absolu Bain Riche | ฟื้นฟูผมแห้งเสียรุนแรงจากการทำสีโดยเฉพาะ | ผมทำสีเส้นใหญ่ แห้งเสียมาก หรือผ่านการฟอก | สูง |
Olaplex No. 4C Clarifying Shampoo | ดีท็อกซ์ผมทำสี ขจัดสิ่งตกค้างโดยไม่ทำร้ายสี | ผู้ที่รู้สึกผมหมองคล้ำและต้องการรีเซ็ตเส้นผม (ใช้สัปดาห์ละครั้ง) | สูง |
TRESemmé Color Radiance & Repair | คุ้มค่า ล็อกสีพร้อมซ่อมผมเสียในหนึ่งเดียว | ผู้เริ่มต้นดูแลผมทำสี งบประมาณจำกัด | ประหยัด |
Schwarzkopf BC pH 4.5 Color Freeze | เทคโนโลยี pH 4.5 “แช่แข็ง” สีผมได้ดีที่สุด | คนที่เพิ่งทำสีผมและต้องการล็อกสีให้เป๊ะที่สุด | ปานกลาง |
Lolane Pixxel Color Refresh | แชมพูเติมเม็ดสี ชะลอการเฟดของสีแฟชั่น | คนทำสีเทา, บลอนด์หม่น, พาสเทล, หรือสีแฟชั่น | ประหยัด – ปานกลาง |
Wella Professionals ColorMotion+ | ดูแล 3-in-1 (สี, เงา, ความแข็งแรง) พร้อมซ่อมพันธะผม | ผมทำสีที่ต้องการการบำรุงครบวงจร | ปานกลาง |
OGX Fade-Defying + Orchid Oil | สูตร Sulfate-Free จากธรรมชาติ ปกป้องด้วยน้ำมันกล้วยไม้ | คนชอบผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ และต้องการการปกป้องจาก UV | ปานกลาง |
Aveda Color Control Shampoo | วีแกน, ส่วนผสมจากธรรมชาติ 94%, อ่อนโยนสูงสุด | สายออร์แกนิก, หนังศีรษะแพ้ง่าย, ชอบกลิ่นอโรม่า | สูง |
Yves Rocher Color Protection | สูตร Silicone-Free จากพืชพรรณธรรมชาติ | คนที่ไม่ชอบซิลิโคน ต้องการผมเบาสบาย และใส่ใจสิ่งแวดล้อม | ประหยัด |
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
1. เพิ่งทำสีผมมา ควรเว้นการสระผมกี่วัน?
โดยทั่วไปแล้วช่างทำผมจะแนะนำให้เว้นการสระผมอย่างน้อย 48-72 ชั่วโมง (2-3 วัน) หลังการทำสีครับ เหตุผลเพื่อให้เกล็ดผมที่ถูกเปิดออกในระหว่างการทำสีได้มีเวลาปิดตัวลงอย่างสมบูรณ์ และทำให้เม็ดสีใหม่ได้เซ็ตตัวและยึดเกาะกับแกนผมได้ดีที่สุด การรีบสระผมเร็วเกินไปจะทำให้สีหลุดออกไปจำนวนมากและซีดจางอย่างรวดเร็ว
2. แชมพูม่วง หรือ แชมพูเติมสี ควรใช้บ่อยแค่ไหน?
ไม่ควรใช้ทุกวันครับ เพราะแชมพูเหล่านี้มีเม็ดสีเข้มข้น การใช้บ่อยเกินไปอาจทำให้สีเพี้ยนได้ (เช่น ผมอาจติดม่วงหรือน้ำเงิน) ความถี่ที่เหมาะสมคือสัปดาห์ละ 1-3 ครั้ง หรือใช้เมื่อสังเกตเห็นว่าสีผมเริ่มเฟดหรือติดเหลือง/ส้ม ควรใช้สลับกับแชมพูสำหรับผมทำสีสูตรปกติเพื่อการดูแลที่สมดุล
3. ถ้าใช้แชมพูสำหรับผมทำสีแล้ว จำเป็นต้องใช้ครีมนวดสำหรับผมทำสีด้วยไหม?
จำเป็นอย่างยิ่งครับ! แชมพูทำหน้าที่ทำความสะอาดและปกป้องสี ส่วนครีมนวด (Conditioner) และทรีทเมนท์ (Treatment) สำหรับผมทำสี จะทำหน้าที่ปิดเกล็ดผมให้สนิทหลังสระ, เติมความชุ่มชื้น, ลดไฟฟ้าสถิต, และเคลือบปกป้องเส้นผมจากปัจจัยภายนอก การใช้คู่กันจะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการล็อกสีผมและบำรุงผมให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
4. ทำไมแชมพูที่ไม่มีซัลเฟต (Sulfate-Free) ถึงมีฟองน้อยกว่าปกติ?
เพราะสารซัลเฟต (SLS/SLES) คือสารที่ทำให้เกิดฟองในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆ แชมพูที่ปราศจากซัลเฟตจึงใช้สารทำความสะอาดที่อ่อนโยนกว่าซึ่งอาจให้ฟองน้อยลง แต่ไม่ได้หมายความว่าประสิทธิภาพการทำความสะอาดจะลดลงนะครับ มันยังคงสามารถทำความสะอาดสิ่งสกปรกและความมันได้ดี เพียงแต่อ่อนโยนกว่ามากและไม่ไปชะล้างสีผมและความชุ่มชื้นตามธรรมชาติออกไป
บทสรุป
การเลือก แชมพูสำหรับผมทำสี ที่เหมาะสม ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดเพื่อปกป้องสีผมสวยๆ ของคุณให้อยู่ทนนาน การเข้าใจถึงความต้องการพิเศษของผมทำสี รู้จักส่วนผสมที่ควรมองหาและควรหลีกเลี่ยง คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการดูแล ไม่ว่าคุณจะเลือกแชมพูจากแบรนด์ใดใน 10 ยี่ห้อที่เราแนะนำไป สิ่งสำคัญคือการเลือกให้เหมาะกับสภาพเส้นผม งบประมาณ และไลฟ์สไตล์ของคุณ ควบคู่ไปกับการดูแลในขั้นตอนอื่นๆ เช่น การใช้ครีมนวดและทรีทเมนท์ที่ถูกต้อง, หลีกเลี่ยงความร้อน และปกป้องผมจากแสงแดด เพียงเท่านี้ สีผมที่คุณตั้งใจทำมาก็จะสวยสดใส มีประกายเงางาม สร้างความมั่นใจให้คุณได้ในทุกๆ วัน เหมือนเพิ่งเดินออกจากซาลอนมาใหม่ๆ เลยทีเดียวครับ
Image by: